มาทำธุรกิจ… “ ขายส่งเสื้อผ้าแฟชั่น ” กันเถอะ ( กำไรน้อย แต่ ขายเยอะ )
มาทำธุรกิจ… “ ขายส่งเสื้อผ้าแฟชั่น ” กันเถอะ ( กำไรน้อยๆ แต่ขายเยอะ )
เสื้อผ้าแฟชั่น นั้นมีมากมายหลายประเภท จำนวนคนที่ซื้อมีมาก กลุ่มลูกค้า มีทั้งผู้หญิง และ ผู้ชาย หลายอายุช่วงวัย ตลาดมีขนาดใหญ่ จึงทำให้มูลค่าตลาด เสื้อผ้าแฟชั่นมีมากถึง 250,000 ล้านบาท/ปี ( ข้อมูลที่มาจาก : ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ( มหาชน )
แต่ในการจะลงทุน จับปลาตัวเล็กๆ ให้ได้ครั้งละมากๆ นั้นเราก็ต้องรู้วิธีการเจ็บปลาด้วย รู้ว่าจะใช้เครื่องมือแบบไหน…ในการจับปลา
หากใช้เบ็ดตกปลาคันเล็กๆ ( คุณภาพดีๆ ) อาจได้ปลาตัวใหญ่ก็จริง แต่มันก็ได้ครั้งละตัวเท่านั้น…
แต่ถ้าเราใช้เรือประมงหาปลา ที่ติดเครื่องมือพร้อมสรรพ ทั้งเรดาร์รู้จำนวนปลา และรู้ว่าปลาอยู่ที่ไหน มีอวนลากปลาที่จับปลาได้ครั้งละมากๆ มันย่อมได้ปลาเป็นตันๆ แน่… ( แต่ต้องทำให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของกฎหมายด้วยนะครับ )
เปรียบไปแล้ว ก็เหมือนการ “ ขายส่งเสื้อผ้าแฟชั่น ” ไม่มีผิด ถ้าอยากขายได้จำนวนมากๆ ก็ต้องรู้จักตัวธุรกิจให้ดี กำหนดแผนงาน แผนการลงทุนให้ชัดเจน ก่อนที่จะลงทุนทำธุรกิจ ในบทความนี้ จึงจะพยายามนำเสนอทุกมิติของธุรกิจ “ ขายส่งเสื้อผ้าแฟชั่น ” ให้มากที่สุด.. เพื่อให้เกิดประโยชน์กับเพื่อนที่คิดจะลงทุนทำธุรกิจนี้ ไปเริ่มกันเลยครับ
ประเภทของ ขายส่งเสื้อผ้าแฟชั่น
ประเภทของเสื้อผ้าแฟชั่นนั้น มีมากจริงๆ และค่อนข้างกว้าง เราควรมาทำความรู้จักกับประเภทของเสื้อผ้าก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อนำมากำหนด ขอบเขตประเภทเสื้อผ้าแฟชั่นให้แคบลง เพื่อให้ได้เสื้อผ้าแฟชั่น ที่เราต้องการ “ขายส่ง”
คงไม่ดีแน่ถ้าเรา จะขายส่งเสื้อผ้าทุกประเภทเลย ยิ่งในยุคการแข่งขันสูงอย่างในปัจจุบัน เราต้องระบุสินค้าที่เฉพาะเจาะจง หรือ ที่เรียกว่า ( niche market )
ซึ่งการแบ่งประเภทสินค้า ขายส่งเสื้อผ้าแฟชั่น ที่ทีมงานเว็บไซต์ www.ทำเลขายของ.com จะนำเสนอนี้ อาจไม่เหมือนใคร ด้วยเหตุที่ต้องการให้ผู้อ่าน ที่กำลังสนใจทำธุรกิจขายส่งเสื้อผ้าแฟชั่น ได้เลือกจากตัวแปรต่างๆ ตามไปด้วย เป็นการกำหนดรูปแบบเสื้อผ้าแฟชั่น ไปพร้อมกันเลย…
Advertisements
โดยจะแบ่งประเภทของ เสื้อผ้าแฟชั่นขายส่ง ตามตัวแปรดังต่อไปนี้
แบ่งตามการใช้งาน
– เสื้อผ้าลำลองสบาย แบบอยู่บ้านสบายๆ
– เสื้อผ้าแฟชั่น แบบออกนอกบ้าน ไปเที่ยว , สังสรรค์
– เสื้อผ้าแฟชั่น แบบออกงานต่างๆ
– เสื้อผ้าสำหรับทำงาน
– เสื้อผ้าแฟชั่นแบบเฉพาะเจาะจงการใช้งาน เช่น เสื้อผ้าแฟชั่นหน้าหนาว ที่มีทั้งใช้ในประเทศ และ ที่นิยมซื้อไปเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะเลยก็มีนะครับ
– เสื้อผ้ากีฬา :
เมื่อมีความนิยมการออกกำลังกายมากขึ้น เสื้อผ้าประเภทนี้ก็พลอยขายดิบขายดีไปด้วย ยิ่งเมื่อกระแสการปั่นจักรยานมาแรง , บอลลีกอาชีพ เริ่มมีคนสนใจมากขึ้น , ต่างๆ เหล่านี้ ยิ่งทำให้ยอดขายเสื้อผ้าประเภทนี้ พุ่งกระฉูดตามไปด้วย
– เสื้อผ้าตามเทศกาล หรือ วาระสำคัญ หรือ กระแสนิยม :
อย่างเช่น เสื้อสีเหลืองวันพ่อ , เสื้อสีฟ้า-วันแม่ , เสื้อลายดอก-วันสงกรานต์ , เสื้อสีแดง-วันตรุษจีน เสื้อผ้ากลุ่มนี้ จะมียอดขายมากขึ้น เมื่อใกล้ช่วงเทศกาลต่างๆ หากจับจังหวะไห้ดีๆ ก็มีโอกาสทำกำไรได้เยอะเหมือนกัน
แบ่งตามเพศ
ก็แน่นอนครับ ต้องเป็นเพศหญิง กับ เพศชาย แน่อยู่แล้ว สำหรับกลุ่มใหญ่ๆ แต่หากมองให้ลึกลงไป ก็จะพบว่ายังมีเพศที่.3 , เพศที่.4 , เพศที่.5 ที่มีความต้องการแบบเฉพาะเจาะจง ที่เป็นสไตล์ของเขาเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น
ผู้หญิงนะครับ ( Tom ) : เขาเหล่านี้ต้องการเสื้อผ้า เหมือนผู้ชายที่มีขนาดไซต์เล็กเหมือนผู้หญิง ช่วงอก กับ ช่วงสะโพก ก็อาจต้องออกแบบมาเฉพาะสำหรับพวกเธอโดยเฉพาะ อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ มีการออกสินค้า เป็น บาร์ ชุดชั้นใน สำหรับสาวหล่อ ที่เมื่อสวมใส่แล้วจะทำให้ดูแมนขึ้นเยอะเลยครับ..
แบ่งตามอายุ
เสื้อผ้าแฟชั่น ยังแยกไปตามช่วงอายุได้ เช่น เด็กเล็ก , วัยรุ่น , วัยทำงาน , วัยผู้สูงอายุ ซึ่งแต่ช่วงอายุ จะนิยมแฟชั่น โทนสี ที่แตกต่างกัน ไป
แบ่งตามความเก่า-ใหม่
ปัจจุบัน มีความนิยมทั้ง เสื้อผ้าแฟชั่นใหม่ และ มือสอง ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ จะต้องทำตลาดต่างกัน
แบ่งตามสไตล์ กระแสนิยม
J – style : สไตล์ญี่ปุ่น เป็นยุคแรกๆ ที่มีกระแสนิยมมาจากโซนเอเชีย
K – style : เกาหลีสไตล์ ความคลั่งไคล้ ซี่รี่เกาหลี และ K-pop เริ่มมีมากขึ้น ทำให้แฟชั่นเกาหลี ตามเข้ามาไม่ห่าง
T – style : ผ้าไทย ด้วยรัฐมีการส่งสาร ให้ข้าราชการ หันมาใส่ผ้าไทย จึงทำให้มีความต้องการ เสื้อผ้าแฟชั่น-ผ้าไทย
Modren : working women , smart man ยังไปที่นิยมไม่เสื่อม
Fat – style : เติมช่องว่างของตลาด เมื่อคนอ้วน หาเสื้อผ้าใส่ยาก เสื้อผ้าแฟชั่นสวยๆ ของคนอ้วน จึงถูกผลิตขึ้นมา
อื่นๆ : ยังมีอีกหลากหลายสไตล์
การกำหนดรูปแบบ เสื้อผ้าแฟชั่นขายส่ง ที่ต้องการขาย ( niche market )
สำหรับในการเริ่มต้นทำธุรกิจ “ ขายส่งเสื้อผ้าแฟชั่น ” เพื่อนๆ ควรที่จะกำหนดเสื้อผ้าแฟชั่นที่เราต้องการขายส่งไปเลยนะครับ ว่าจะขายเสื้อผ้าแบบไหนดี โดยลองเลือกติ๊กจากตัวแปรจะประเภทเสื้อผ้าแฟชั่นที่ให้ไว้ ในข้อก่อนหน้านี้
ลองเลือกมาที่ละข้อในแต่ละตัวแปรก็ได้ครับ เช่น
1.) เสื้อผ้าแฟชั่น ไปเที่ยว
2.) เสื้อผ้าแฟชั่น ของผู้หญิง
3.) อายุ 18 – 22 ปี
4.) Japaness – style
5.) ของใหม่
6.) อื่นๆ : กำหนดเป็น pink rady เพื่อเป็นเอกลักษณ์ของสินค้าขายส่งของเรา
ฉะนั้นเราก็ได้ตัวสินค้าที่เราจะ “ขายส่ง” แล้ว ก็คือ เสื้อผ้าแฟชั่นไปเที่ยววันหยุด สบายๆ ของสาวน้อยวัยรุ่น วัยนักศึกษา ออกแนวญี่ปุ่นสไตล์ ที่มีเอกลักษณ์สินค้าของร้านเราจะออกในโทนสีชมพู่ เป็นต้น
เป็นตัวอย่างหนึ่งที่จะกำหนดขอบเขตของตัวสินค้าเท่านั้นนะครับ เพื่อนๆ ถ้ามีไอเดียใหม่ๆ ก็ลองกำหนดดูครับ ก็อาจตัวสินค้าที่มีเอกลักษณ์ไปอีกแบบ พยายามมองหาที่ว่างใหม่ๆ ได้ก็ยิ่งดี.. [ บุกจากจุดเล็กๆ แล้วค่อยขยายตลาดให้กว้างขึ้นครับ ]
นโยบายการกำหนดราคา ขายส่งเสื้อผ้าแฟชั่น
เมื่อรู้แล้วว่า สินค้าเราเป็นแบบไหน คราวนี้ เราต้องมากำหนดราคาขายส่งด้วยนะครับ “ สำคัญมาก ”
ในการขายส่งมันเป็นเรื่องของ “ ราคา (price ) ” ล้วนๆ , หากไม่วางนโยบาย หรือ กำหนดราคาที่ขายส่งที่ชัดเจน ผลกระทบจะตกไปเป็นทอดๆ จนไปถึงคนซื้อสินค้าคนสุดท้าย คือ ผู้บริโภค ( ลูกค้า ) แล้วมันจะสะท้อนกลับมาถึงเรา จนทำให้ถึงเจ๊งเลยทีเดียว….ก็ว่าได้นะครับ
การขายสินค้าทั่วไป ก็มีแค่ “ ต้นทุน กับ ราคาขาย ” แต่สำหรับการขายส่งนั้น ต้องคิดเผื่ออีกข้อคือ “ ต้นทุน กับ ราคาขายส่ง และ ราคาขายปลีก ”
ใช้หลักคิดง่ายๆ การกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ จาก 100 % ดังนี้
1.) ต้นทุนทั้งหมด 120 บาท , ( 60 % )
2.) ตั้งราคาขายส่ง 140 บาท , ( 70 % )
3.) ตั้งราคาขายปลีก 200 บาท , ( 100 % )
แปลว่า ถ้าเราขายในราคาส่ง เรามีกำไร 20 บาท/ชิ้น , ผู้รับไปขายปลีกเขาจะมีกำไร 60 บาท/ชิ้น , ซึ่งเราจะมาทดลองคำนวณเป็นโมเดลในการขายส่ง กันดูเลยครับ
ขอยกตัวอย่างเป็นเสื้อผ้าแฟชั่น J-pink ( เสื้อชีฟองเบาๆ )( สมมุติ )
1.) ต้นทุนทั้งหมด
– ต้นทุนเสื้อ 80,000 บาท/1,000 ตัว
– ต้นทุนค่าเช่าโกดัง 15,000 บาท/เดือน ( คาดว่าต้องขายหมดภายใน 1 เดือน )
– ค่าแรงงาน 15,000 บาท/เดือน
– ค่าดำเนินงานอื่นๆ 10,000 บาท/เดือน
– รวม : 120,000 บาท [ ซึ่งจะเท่ากับ 120,000 หาร 1,000 จะมีต้นทุนเท่ากับ 120 บาท/ตัว ]
กล่าวคือ ให้เอาต้นทุนทั้งหมดที่มี มาหารเฉลี่ยกับจำนวนสินค้า ที่ขาดว่าจะขายได้หมด ในช่วงเวลาที่กำหนด ก็จะได้เป็นต้นทุนสินค้าต่อชิ้น
2.) ตั้งราคาขายส่ง
ถ้ากำหนดราคาขายส่ง 140 บาท , จะมีกำไร 20 บาท/ตัว , ถ้าขายหมด 1,000 ตัว ก็จะได้กำไร 20,000 บาท
ซึ่งจะมาแปรผันกับจำนวนขายส่งด้วย เพราะกรอบเวลา คือ “ ต้องขายให้หมดภายใน 1 เดือน ” หากเกินกว่านั้น ต้นทุนจะสูงขึ้น ตามค่าใช้จ่ายประจำที่มีอยู่
นั่นหมายความว่า ถ้าขายส่งราคา 140 บาท / ให้ลูกค้าต้องซื้อที่ 100 ตัว , ใน 1,000 ตัว ที่มีสต๊อคในรอบนี้ จะต้องมีลูกค้ารับไปขาย 10 เจ้า ,
แต่ถ้ากำหนด ขายส่งราคา 140 บาท / ถ้าให้ลูกค้าที่ 50 ตัว , ใน 1,000 ตัว ต้องหาลูกค้าที่รับไปขายปลีกให้ได้ 20 เจ้า ภายใน 1 เดือน
3.) ตั้งราคาขายปลีก
ที่กำหนดราคาขายปลีกไว้ 200 บาท ลูกค้าที่รับไปขายต่อ เขาได้กำไร 60 บาท/ตัว , ถ้าบังคับรับครั้งละ 100 ตัว ขายหมดเขาจะมีกำไร 6,000 บาท/รอบ
ทั้งนี้ จะต้องดูว่าเขาขายหมดภายในกี่วันด้วย เพราะพ่อค้า-แม่ค้าขายปลีก เขาก็มีต้นทุนเหมือนกัน
เห็นไหมครับ.. การกำหนดราคขายส่ง เป็นเรื่องสำคัญ ที่เขียนไปนั้นเป็นการทดลองคำนวณ เพื่อให้เห็นแนวทางในการคิด เป็นทอดๆ หากวางราคาได้อย่างลงตัว การขายก็จะ win win ทั้งหมด ธุรกิจขายส่งเสื้อผ้า ถึงเดินไปได้…
วิธีการหาสินค้า แหล่งที่มาของ เสื้อผ้าแฟชั่นขายส่ง
การหาสินค้า เสื้อผ้าแฟชั่นเพื่อมาขายส่ง มาได้จากหลายช่องทางดังนี้
1.) จ้างโรงงานผลิต
การจ้างโรงงานผลิต ต้องมีจำนวน ต้องแบบที่ชัดเจนแล้ว โดยส่วนใหญ่ในการจ้างผลิต จะเป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร มีแบรนด์สินค้าเป็นของตนเอง เพื่อเป้าหมายธุรกิจในอนาคต , หรือ
บ้างคนอาจใช้วิธี “ ลิขสิทธ์สินค้า ” เพื่อป้องคู่แข่ง สามารถขายได้แต่ผู้เดียว เช่น เสื้อผ้าแฟชั่นลาย Hero ต่างๆ อันนี้เมื่อผลิตออกมาแล้วมันใจว่าขายได้แน่
2.) ตั้งโรงงานผลิตเอง
หากคนที่มีเงินทุนมากๆ ก็อาจตั้งโรงงานเป็นของตนเอง แต่สมัยนี้ ต้องดูเรื่องค่าแรงประกอบไปด้วย โรงงานส่วนใหญ่ในตอนนี้ มักไปตั้งโรงงานตามแหล่งที่ค่าแรงถูก เช่น หัวเมืองตามต่างจังหวัด ที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า โดยดูข้อกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐประกอบไปด้วย บ้างคนก็ไปตั้งโรงงานที่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าแรงถูกเลย ก็มี
3.) นำเข้าจากต่างประเทศ
วิธีนี้เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะสินค้านำเข้าจากประเทศจีน เพราะมีราคาถูกกว่าที่เมืองไทยมาก แต่ก็ต้องดูคุณภาพสินค้า และขั้นตอนการสั่งซื้อด้วย เพราะมีหลายๆ ขั้นตอน , มีหลายโรงงานผลิต ซึ่งหากเจอโรงงานดีๆ ก็สามารถได้สินค้าที่ดี ราคาไม่แพง
4.) ส่งงานให้แรงงานตามท้องถิ่น
บ้างท่านใช้วิธี ส่งงานไปตามหมู่บ้าน ท้องถิ่นตามต่างจังหวัด ที่มีค่าแรงถูก ค่าครองชีพถูก ส่งชิ้นงานไปให้คนในท้องถิ่นนั้นๆ บ้างหมู่บ้านก็จะรับงานกันทั้งหมู่บ้าน สร้างรายได้ และ สินค้าไปพร้อมกัน
การตลาด ขายส่งเสื้อผ้าแฟชั่น
คราวนี้เมื่อพอเห็นภาพรวมไปบ้างแล้ว มาดูซิว่า… “ จะขายยังไง ” “จะหาลูกค้ารับไปขายยังไง ” แน่นอนต้องรู้กลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มพ่อค้า-แม่ค้า ที่ขายเสื้อผ้าแฟชั่น ซึ่งปัจจุบันมีทั้งขายแบบ Off-Line และ On-Line
เราจะต้องหากลยุทธ์ ในการหาคนไปขายปลีกให้เราอีกที ดังนี้
Off-Line ( ออฟไลน์ )
1.) เปิดโกดัง “ขายส่งเสื้อแฟชั่น”
จัดแบบรูปแบบอาคาร อาจเป็น อาคารพาณิชย์ หรือ โกดังเช่า แล้วเปิดให้มาซื้อแบบยก Lot ราคาส่ง
2.) ออกงานบูธธุรกิจ
ไปออกงานแสดงที่เกี่ยว อาชีพ , ธุรกิจ สำหรับผู้ที่ต้องการมีอาชีพของตัวเอง
3.) เซลล์
ให้เซลล์วิ่งเข้าตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เช่น พ่อค่า – แม่ค้าตามตลาดนัด , ตามห้างสรรพสินค้า
On-Line ( ออนไลน์ )
1.) เปิดรับสมาชิก
เปิดเว็บไซต์ หรือ facebook เปิดรับสมาชิก ที่ต้องการรับเสื้อผ้าไปขาย อาจต้องมีการซื้อโฆษณาด้วย ทั้งของ google และ ของ facebook สำคัญต้องซื้อให้ตั้งกลุ่มเป้าหมายด้วย
2.)Drop ship
เป็นรูปแบบขายส่งใหม่ ที่ผู้ขายปลีกไม่ต้องลงสินค้าไว้ หากขายได้ให้ส่งคำสั่งมายัง ผู้ขายส่งเป็นคนจัดส่งสินค้าแทน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ต่างๆ ระหว่าง ผู้ขายส่ง และ ผู้ขายปลีกนั่นเอง
3.) ลงประกาศ ตามเว็บไซต์ ( พ่อค้าแม่ค้า )
ลงประกาศตามเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเว็บไซต์ ที่มีพ่อค้า-แม่ค้า มาเข้ากันเยอะๆ จะตรงกลุ่มเป้าหมายตามที่ต้องการ
จดทะเบียนจัดตั้งกิจการ ขายส่งเสื้อผ้าแฟชั่น
การจดทะเบียนจัดตั้งนั้น ทำได้ทั้งแบบ บุคคลธรรมดา และ นิติบุคคล
บุคคลธรรมดา :
ร้านค้า หรือ บุคคลทั่วไป จะไปแจ้งจดเป็นร้านค้า สามารถไปจดได้ที่กรมธุรกิจการค้า หรือ ที่อำเภอ ก็ได้
นิติบุคคล :
ห้างหุ้นส่วนจำกัด และ บริษัท
เรื่องภาษี ขายส่งเสื้อผ้าแฟชั่น
กล่าวคือ บุคคลธรรมดา ก็จะเป็นร้านค้า และ ผู้เสียภาษีตามบัตรประชาชน ส่วนใหญ่จะเสียในรูปแบบ “ภาษีเหมา” คือ กฎหมายกำหนด ให้หักค่าใช้จ่ายได้ตามที่กฎหมายกำหนด เช่น กรณีซื้อ-ขาย ตาม ( 40 ) ให้ได้ร้อยละ 80 % แล้วนำ 20 % มาคิดภาษี
สำหรับ นิติบุคคล : ห้างหุ้นส่วนจำกัด และ บริษัท นั้น เสียภาษีในแบบ “ตามจริง” เป็นการคำนวณภาษีแบบ ภาษีขาย หัก ภาษีซื้อ และ หักค่าใช้จ่ายต่างๆ ต้องมีการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มประกอบไปด้วยในแต่ละเดือน ก็พูดง่าย คือ คิดตามจริง เหลือยอดเท่าไหร่ ก็ค่อยนำมาคำนวณภาษี ยุ่งหน่อย แต่เสียตามจริงที่เราขายได้
ถ้าเรา “ ขายส่งเสื้อผ้าแฟชั่น ” ยอดขายจะเยอะ แต่อัตราส่วนกำไรน้อย ควรเรียกเสียภาษีแบบ “ตามจริง” จะดีกว่า หากช่วงแรกๆ ที่ขายไม่เยอะก็เสียแบบเหมาไปก่อนก็ได้ พอเริ่มมียอดเยอะก็ให้เลือกแบบเสียตามจริง
สำหรับ ผู้ที่กลัวยุ่งยาก หรือ ไม่มีความรู้ทางด้านภาษีมาก ก็ลองหาบริษัทที่เขารับทำภาษี มาดูแลในส่วนนี้ก็ได้
Advertisements
สำหรับ ธุรกิจ “ ขายส่งเสื้อผ้าแฟชั่น ” ดูทีแรกเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่พอเจาะลึกรายละเอียดกลับมีข้อมูลปลีกย่อยมากอยู่พอควร แต่ถ้าหากวางแผนดี กำหนดเป้าหมายชัดเจน โอกาสที่ธุรกิจจะประสบความสำเร็จย่อมเป็นไปได้แน่นอน… แล้วจะมาอัพเดทข้อมูลส่วนอื่นๆ อีกนะครับ… ( หมดแรง พักแป๊บนึ่งก่อนครับ )
เขียนโดย อาซาดะ ริวอิจิ
ลิขสิทธิ์โดย ทำเลขายของ.com
ไม่อนุญาต “คัดลอก” รวมถึงในกรณี ที่จะใส่ลิ้งค์กลับ ก็ไม่อนุญาต เช่นกันนะครับ
อนุญาตให้ “แชร์” ได้ครับ
ขอบคุณครับ
Leave a comment