จากกล่องขายของเล่นข้างถนน สู่...ธุรกิจตู้ให้เช่า 279 ตู้ (1)

จากกล่องขายของเล่นข้างถนน สู่…ธุรกิจตู้ให้เช่า 279 ตู้

จากกล่องขายของเล่นข้างถนน สู่…ธุรกิจตู้ให้เช่า 279 ตู้

แต่ละคนล้วนมีที่มา…
แต่ละธุรกิจล้วนมีเส้นทางเดิน…ที่แตกต่าง

    การเห็นช่องทางธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร… นั้นไม่ง่าย  วันนี้ทางทีมงานธุรกิจเว็บไซต์ทำเลขายของ.com จะพาไปพบกับอีกประสบการณ์ชีวิต ประสบการณ์ธุรกิจที่โชคโชน แสนสุดทรหด  เรื่องราว-ความรู้ ที่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและหัวใจ

    แม้..เป็นเพียงธุรกิจขายของเล่นเล็กๆ  แต่เขาคนนี้….สามารถพลิกวิกฤต สร้างโอกาสใหม่ จนสามารถสร้างร้านของเล่นถึง 3 ร้าน เปิดรูปแบบโมเดลธุรกิจใหม่ที่น่าสนใจ  จนเป็นที่พูดถึงกันอย่างมาก  ไปติดตามเรื่องราวของผู้ชายคนนี้กันเลยครับ “ผู้ชายของของเล่น” จากแบรนด์ ให้ไปเกิด


การก่อสร้างในวันแรกของZoneC

จากเรื่องจริง 100%

    อยากถ่ายทอดเรื่องราว และ ประสบการ์ณที่ผ่านมาของผม ที่อยู่ในวงการโมเดล ฟิกเกอร์ ของเล่น ให้ฟังกัน ซึ่งบอกก่อนว่า ณ ตอนนี้ ผมก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ เพียงแต่ได้สู้ และ ฝ่าฟัน มาถึงระดับนึง…ซึ่งยอมรับว่า เหนื่อยมากๆ แต่ก็มีความฝันที่ อยากจะทำ…

 ที่มาของดินแดน “ให้ไปเกิด”

    ในตอนแรกคิดว่าจะเล่าไปเรื่อยๆ มีหลายๆ Part แต่ช่วงนี้ มีเวลาน้อยมากๆ จึงขอสรุปสั้นๆ (แต่ก็ยาวอยู่ดี) ให้ฟังกัน แล้วไว้โอกาสหน้า จะไว้เล่ารายละเอียดให้ฟังเพิ่มกันนะ เพราะเหตุผลหลักๆ ที่เขียนไว้ จะได้จำได้ว่า ครั้งนึง เราเคยเสี่ยงขนาดนี้ ได้ยังไง? เพื่อเตือนใจให้กับตัวเองและเพื่อนๆ ว่าถ้าเรามีความฝัน ก็ต้อง

“ทำตามความฝันให้ได้”

Part 2 : บทสรุปของให้ไปเกิด

– บทเริ่มZoneC

    900,000 กว่าบาท เป็นตัวเลขที่เยอะมากในการลงทุนสำหรับผม ในการก่อสร้างห้อง ZoneC โดยเป็นมูลค่ารวมทั้งหมด หากนับถอยหลังไป เมื่อวันที่ 5 ม.ค 60

    ผมมีเงินในบัญชี เพียง 3 แสนกว่าบาทเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ ได้ลงทุนใน ZoneB ไปไม่ต่ำกว่า 2 แสนบาท เมื่อเดือน ธ. ค60 โดยแผนที่จะสร้าง ZoneC นั้น จริงๆ วางไว้ที่เดือน มิถุนายน 60 แล้วเสร็จ สิงหาคม 60

– สถานการ์ณของ ZoneA และ B

    หลังจากเปิด ZoneB กระแสตอบรับดีขึ้นเรื่อยๆ มีลูกค้ามามากกว่าเดิมเยอะ และ หลายๆคน กลายเป็นลูกค้าประจำของทางร้าน รวมถึง ยอดขายต่อเดือน มากกว่าเดิมมาก และที่สำคัญ ตู้ให้เช่าในZoneA , B ไม่เพียงพอ เต็มตลอด เมื่อมีคนออก คนเก่าที่เช่าอยู่ ก็ขอเพิ่มทันที สรุปได้ว่า พื้นที่ไม่เพียงพอ

คำถาม ?
    หลายๆคน คงสงสัยว่า ธุรกิจให้เช่าตู้ คืออะไร ผมจะมาเฉลยท้ายสุด หลังจากนี้เล่าจบ นะครับ
    และ หากบางคนทราบแล้ว ก็อย่าพึ่งบอกว่าคืออะไร ให้ทายกันเล่นๆก่อนนะ

โอกาส & ความไม่พร้อม

   เมื่อพื้นที่เริ่มเต็ม แต่สินค้าไม่เพียงพอ ทำให้คิดว่าต้องขยาย Zone C ซึ่งตอนนั้น คาดการณ์ว่า ช่วง เดือนมิถุนายน 60 เริ่มสร้างละกัน แต่นั้น คือ สิ่งที่คิด เพราะในความเป็นจริง…โอกาสมักจะมาตอนที่เรายังไม่พร้อม เนื่องจาก ทางพี่เจ้าของที่ แนะนำว่า “ควรรีบๆทำ” ก่อนที่เจ้าอื่นจะเริ่มทำตาม และ เลียนแบบ รวมถึง หากทำช้า ทางร้านอาจจะเสียโอกาสในการได้พื้นที่….ซึ่งมีเวลาคิดเพียง 1 อาทิตย์เท่านั้น…

    ช่วงนั้นมีเงินในบัญชีเพียง 3 แสนต้นๆ ซึ่งเป็นเงินหมุนเวียนภายในร้าน ไม่ใช่เงินส่วนตัวทั้งหมด เพราะ เป็นรายได้จากการขายสินค้าของผู้เช่าตู้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในขณะนั้น แน่นอนว่า มีความกดดันมาก เพราะ ไม่รู้จะหาทุนมาจากที่ไหน เพราะ ก่อนที่จะมาลงทุนใน ZoneA ก็เคยกู้ธนาคาร มาหลายครั้ง หลายธนาคาร แต่ก็ไม่ผ่าน แม้แต่ ทำบัตรเครดิต ก็ไม่ผ่านเช่นกัน เหตุผลหลักๆ คือ ยอดเงินเข้าต้องเฉลี่ยเดือนละ 5แสน สำหรับเจ้าของกิจการ….จึงเป็นเหตุผลที่กู้เงิน ไม่ผ่าน

วันรุ่งขึ้น ก็เลยบอกกับพี่เจ้าของพื้นที่ว่า….

“ผมตัดสินใจแล้วว่า จะเช่าพื้นที่ว่างด้านหลัง เพื่อก่อสร้าง Zone C ในเดือนมีนาคม 60”

ทั้งๆที่ในขณะนั้นขาดเงินทุนจำนวน 6 แสนกว่าบาท…

หลายๆคน คงคิดว่า บ้า รึเปล่า ไม่มีเงิน แล้วจะก่อสร้างได้ยังไง….


แผนผังZoneA , B , C

 จุดเริ่มต้นของวงการของเล่น

   ย้อนกลับไป เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตอนนั้นออกจากงานราชการ รวมทั้งงานประจำ ซึ่งก็คือ ว่างงานนั้นเอง โดยในตอนนั้น ก็มีโอกาสเข้ามา เพราะ พี่ที่รู้จัก แนะนำว่า เพื่อนของเขาเป็นผู้จัดการ  ในการนำเข้าของเล่นจากประเทศจีน

    วันรุ่งขึ้น จึงเดินทางไปที่บริษัทด้วยงบติดตัวอยู่ 5,000 บาท  หลังจากที่เลือกไป-เลือกมา ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์ในการขายเลย จึงเลือกแต่ของที่เราชอบ และ คิดว่าน่าจะขายได้ โดยเลือกซื้อมาส่วนนึง ทั้งงานมือ1 และ สภาพไม่มีแพ็ค จากทางบริษัท

ปฐมบทแห่งเริ่มต้น (ตลาดนัดสวนหลวง ร.9)

    หลังจากซื้อของได้ในวันอังคาร ก็ตัดสินใจทันทีว่า… จะลองไปขายทันที  เลยตัดสินใจ..ไปในวันเสาร์ ที่จะมาถึง  โดยไปแบบที่ ไม่ค่อยพร้อมอะไรเท่าไร มีเพียงสินค้า และ กล่องใส่ของเท่านั้น


ตลาดนัดสวนหลวง ร.9 ในครั้งแรก

    โดยวันแรกที่ขาย…ก็ต้องไปตั้งแต่ตี5 เพื่อขอจองล็อค พอไปถึงก็โชคร้าย ล็อคปกติเต็มหมด มีแต่ล็อคด้านหน้าติดฟุตบาท แต่ทำเลตรงนั้นแพงกว่าปกติมาก ซึ่งถ้าไม่เอา ก็มีคนมารอต่อคิวทันที มีเวลาคิดเพียง 3 วินาที จึงตอบไปว่า “เอาครับพี่”





Advertisements

บทที่สอง – ตำราเล่มใหญ่ที่ สำเพ็ง

    ผ่านไปหลายอาทิตย์ ของเริ่มน้อยลง จึงคิดว่า ต้องซื้อของเพิ่มละ เลยศึกษาเส้นทางในการไปตลาดสำเพ็ง เพื่อเลือกซื้อสินค้าเพิ่มซักหน่อย ซึ่งบอกได้เลยว่า การทำอะไรที่นอกเหนือตำรา นั้น ท้าทายสุดๆ ทั้งเหนื่อย ทั้งปวดหัว ทั้งมีความหวัง จากการไปตลาดสำเพ็งสามารถสรุปสิ่งที่เรียนรู้มาได้ดังนี้ คือ

1.) สินค้าในสำเพ็ง ส่วนใหญ่จะงานก๊อป 80% ที่เหลือ 20% มีแค่บางร้าน
2.) สินค้าเหมือนกัน แต่คนละร้านค้า-ราคาส่งก็จะต่างกัน  ซึ่งราคาไม่ต่างไม่น้อย  เพราะต่างกันถึง 50-80%
3.) ร้านที่อยู่ข้างใน จะราคาต่ำกว่า ร้านข้างนอก
4.) บางร้านต้องซื้อแบบเดียวกัน 3 ชิ้น ถึงได้ราคาส่ง แต่ บางร้านซื้อ 5 ชิ้นแบบคละกัน ก็ได้ราคาส่ง
5.) สินค้ามีหลากหลาย Lot. หากไม่มี เครื่องหมาย มอก. จะราคาต่ำกว่าสินค้าอื่นๆ
6.) ร้านส่วนมาก สินค้าที่ตั้งโต๊ะด้านหน้า จะเน้นขายราคาปลีก แต่ของราคาส่งจะอยู่ภายในร้านด้านใน
7.) บางชิ้นที่หายากในร้านนั้นๆ แต่กลับหาง่าย ในร้านถัดมา
8.) มีเพียงไม่กี่ร้านค้า ที่นำเข้าเองโดยตรงจากจีน นอกนั้น ตัดสินค้าจากร้านที่นำเข้า และ จากตัวแทนในไทย
9.) ตลาดสำเพ็ง มีตลาดกลางวัน และ ตลาดกลางคืน โดย ตลาดกลางคืน จะมีสินค้าจำนวนมากกว่า แปลกใหม่กว่า และ ที่สำคัญ “ราคาต่ำกว่า” เพราะ
   – ขายส่งช่วงกลางคืน ให้พ่อค้ามาขายช่วงกลางวันต่อ
   – สินค้าดีๆ โดนซื้อไปหมดแล้ว ในช่วงกลางคืน
   – พื้นที่ ค่าเช่า ต่ำกว่า ช่วงกลางวัน
   – พ่อค้าช่วงกลางคืน ก็ไม่เปิดกลางวัน
    – งานแท้ งานหลุดQc งานก๊อป จะเจอเยอะกว่า
10.) ระวังจอดรถไว้ช่วงเช้า หากกลับมาไม่ทัน 6.00น. โดนล็อคล้อ และ จะมีวินมอเตอร์ไซค์ มาหาเราแบบจงใจ โดยพาเราไปจ่ายค่าปรับตามระเบียบ ซึ่งโดนมา 1 รอบ หลังจากนั้น….ก็ไม่พลาดอีกเลย T T

บทที่สาม – ตัดราคาสินค้า ให้ฆ่ากันเอง

    หลังจากที่ขายไปได้ซักพัก ทางกทม. ออกกฎระเบียบ ห้ามขายสินค้าบทฟุตบาท ทำให้ล็อคประจำที่เราเคยขายอยู่ ต้องโดนยุบไป

     และ อีกครั้งได้พื้นที่ติดกัน 2 ล็อค ก็เลยเลือกลงแบบไม่ลังเลใจ ในขณะนั้น “ขายดีมาก” “ได้วันละไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท” แต่….แล้วก็เกิดปัญหา ร้านข้างๆ ที่เป็น “ลุง กับ ป้า”   ก็เริ่มมาแอบมองร้านเราบ่อยๆ

    ซึ่งเราก็ไม่ได้คิดอะไร พอผ่านไปอีก 1 อาทิตย์ เริ่มเปิดร้าน ทางร้านนั้นก็มีสินค้าเหมือนร้านเราเดะ.. ราวกับ Copy มาอย่างนั้น และ ที่สำคัญ ทำราคาต่ำกว่ามาก จนคิดว่า ทำเพื่ออะไร

    เช่น ทุนสินค้า 100 บาท เราขาย 200 บาท แต่ร้านนั้นขายเพียง 120 – 150 บาท เท่านั้น และ ไม่ใช่เพียง สินค้าอย่างเดียวเท่านั้น ลดทุกชิ้น ลดทุกอย่าง เพื่อให้ลูกค้ามารุมซื้อเยอะที่สุด และ ทำราคาตลาดเสีย เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนสุดท้าย…  “ ผมก็เลยต้องเปลี่ยนแผน ? >>> ตามกันต่อเลยครับ…


ช่วงที่เลโก้จีน ขายดี ใน1วัน สามารถทำยอดได้ 7,000 – 15,000 บาท

บทที่สี่ – เริ่มธุรกิจของเล่น โมเดล ฟิกเกอร์ มือ1,2 จากญี่ปุ่น

    พอโดนตัดราคาเยอะๆ จึงเริ่มคิดหาทางใหม่ๆ ในการเสนอให้กับลูกค้า จึงหาข้อมูลในเพจ , เว็ปไซต์ ต่างๆ ซึ่ง ถ้าให้เล่ารายละเอียดก็คงไม่มีวันจบ ในระยะเวลาอันสั้น งั้นมาเล่าคร่าวๆ ละกัน

1.) เดินตลาดนัดสวนรถไฟ และ ได้เจอพี่คนนึง คอยแนะนำ และ ช่วยเหลือ เรื่องสินค้าต่างๆ เช่น งานซอฟไรเดอร์ , เกราะเหล็กไรเดอร์ งานต่างๆที่เป็น มาร์คไรเดอร์ ทำให้มีความรู้ทางด้านนี้ เยอะขึ้นมาก

2.) ลุยไปที่ตลาดแถวนวมินทร์ ไปกี่ครั้ง ก็ไม่เคยเปิด แต่ก็พยายามไปทุกๆวัน อาทิตย์ละ 3-4ครั้ง จนสุดท้ายก็เปิด และ ตั้งแต่นั้นมา ก็รับสินค้าจากตรงนั้น เป็นแหล่งประจำ

3.) เจอห้างฯกำลังเปิดใหม่ ในแหล่งศรีนครินทร์ ก็เลยสนใจ เพราะทำเลค่อนข้างดีมากๆ ก็เลยหาทุนก้อนใหญ่ เพราะ ต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 2 แสนบาท แล้วทำยังไงละ เงินเก็บก็ไม่เยอะ ก็เลยตัดใจ “ขายรถ” เพื่อนำเงินสดมาตกแต่งห้อง และ เป็นค่าเช่า นั้นเอง…


ร้านที่ 1 ครั้งแรก (มีแต่สินค้าจีน)


แบบร้านในตอนแรก ที่ต้องใช้งบถึง 9หมื่นบาท ในการตกแต่ง..

4.) หลังเปิดห้างฯ คนเดินน้อยมากๆ เพราะ เป็นห้างฯ เปิดใหม่ และ การโปรโมทยังไม่ดีพอ ทำให้ยอดขายตกลงมากๆ จากเดิมขายตลาดนัด วันละ หลักหมื่น แต่ขายในห้างวันละ ไม่ถึงพัน ทนอยู่ ประมาณ 1 เดือน พอยอดไม่ขึ้น ก็เลยเปลี่ยนวิธีใหม่ คือ จัดของทุกๆคืนวันศุกร์ และ พอตี5 ก็แวะมาที่ร้าน เอาของที่จัดไว้ในกล่อง เอาขึ้นรถ และ ขับไปขายที่ตลาดนัด ที่เดิม… พอตอนเที่ยง ตลาดวาย ก็เอาของทั้งหมด ใส่รถ และ จัดใส่ร้านตามเดิม แค่นั้นยังไม่พอ

เพราะ ตลาดนัด มี 2 วัน คือ เสาร์ และ อาทิตย์ ก็แสดงว่า….คืนวันเสาร์ ก็จัดของ และ เอาไปขายในช่วงเช้า วันอาทิตย์ (ร้านในห้าง เปรียบได้กับ โกดังเก็บสินค้า ไปซะแล้ว) ทำแบบนี้อยู่ประมาณ 1 ปี ได้ละมั้ง…เพื่อหมุนเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และ หลายคนคงสงสัยว่า มีรถ อีกคันได้ยังไง ก็เพราะว่า เอารถที่บ้านมาใช้ก่อน เป็นการชั่วคราว….

5.) หาแหล่งขายส่ง และ ปลีก พอขายไปซักพัก ก็รู้สึกว่า ต้องขยับขยาย หรือ ทำอะไรเพิ่มเติม ก็เลยตัดสินใจ ว่าจะลองขายส่งดูบ้าง จึงไปเช่าพื้นที่ในตลาด ที่เราซื้อสินค้าราคาส่ง โดยพื้นที่ของร้านเรานั้น ก็อยู่ตรงข้ามกับ ร้านขายส่งนั้นเอง แล้วสินค้าละ หาจากไหน? ก็เอาเงินทุนที่มีอยู่ ไปซื้อสินค้าจำนวนเยอะๆ จากร้านขายส่ง แล้วนำมาไว้ภายในร้านของเราแทนนั้นเอง…

6.) เช่าเพียง 1 เดือน ก็ต้องให้คนมาเช่าต่อ เพราะ ยังขาดประสบการณ์ในวงการนี้อีกมากมาย เนื่องจากในวงการของเล่น โมเดล ฟิกเกอร์ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะสามารถอยู่รอดได้แบบสบายๆ เพราะ สุดท้ายพ่อค้าไม่ค่อยซื้อของที่ร้าน แม้จะขายราคาต่ำ หรือ ราคาปกติ เนื่องจาก ส่วนใหญ่จะไม่เชื่อใจ ว่าราคาจะดีจริง รวมถึง ไม่อยากรับสินค้าจากพ่อค้าคนกลาง อย่างเราอีกที พวกพ่อค้า จะชอบรับสินค้าจากต้นทางมากกว่า…

7.) โดนซื้อยกลังในราคา 30,000+บาท แต่มูลค่าของที่ขายได้เพียง 20,000บาทเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ เกิดจากที่ทางผมประสบการณ์ยังน้อย ทำให้คิดว่า สินค้ายกลัง ที่ทางร้านแนะนำมา น่าจะเอาไปต่อยอดได้…เพราะเขาเป็นพ่อค้ามานาน น่าจะเชื่อใจได้ แต่…ในความเป็นจริง ไม่ใช่แบบนั้น เพราะ พ่อค้าเองก็ไม่รู้ราคาปลีก แต่เอาราคายกลังมาให้เราเลย ซึ่งเรื่องนี้ ก็ต้องโทษตัวเอง..และ เตือนสติตัวเอง ว่า การที่เราจะเติบโต ในธุรกิจนี้ สงสัยจะต้อง พึ่งตัวเองเป็นสำคัญ ไว้ใจพ่อค้าไม่ได้..

8.) หลังจากนั้น ก็เริ่มหาแหล่งอื่นๆ ที่สามารถขายปลีกได้ โดยไปหลายที่มาก อาทิ ตลาดเศรษฐี , ตลาดแถวพระราม9 , ตลาดนัดตึกเนชั่น , ตลาดนัดตึกช่อง3 , จัดบูทที่คริสตัลพาร์ค , จัดบูทที่พาราไดซ์พาร์ค อื่นๆ เพื่อหมุนเงิน และ เจาะหากลุ่มลูกค้าใหม่ๆ แต่สุดท้าย..แทบสูญเปล่า เพราะ หักลบกันแล้ว ส่วนใหญ่ได้แค่ คืนทุน ไม่มีกำไร เนื่องจาก ต่อให้ทำเลดีแค่ไหน แต่หากไม่เจอกลุ่มลูกค้า ก็ไม่มีทางทำยอดขายได้ตามที่หวัง..


จัดบูทที่ “คริสตัลพาร์ค”


แต่งเป็น Spider Man …เรียกลูกค้า

 

9.) ครบ 1 ปี ที่ห้างฯ ที่เช่าอยู่ ทางเขาแจ้งว่า หากสนใจต่อสัญญา จะให้ลงมาชั้น.1 ในทำเลที่ดีกว่า ผมจึงต่อสัญญาอีก 1ปี แต่นั้นละ ไม่แตกต่างจากเดิมเท่าไรนัก มีแต่กลุ่มลูกค้าขาจร ที่ไม่รู้จักสินค้า ทำให้ยากมากที่จะก่อให้เกิดรายได้ขึ้น


ร้านที่ 3 ที่ย้ายลงมาจากชั้น 2

10.) ระหว่างนั้น ก็ยังแวะไปขายที่ตลาดนัดสวนหลวง เรื่อยๆ เพราะมีลูกค้าประจำเยอะอยู่ แต่สิ่งที่ต้องทำเพิ่ม คือ ทุกเช้าวันเสาร์ และ อาทิตย์ หลังจากขายเสร็จช่วง 12.00น. ทางผมต้องรีบจัดของเก็บลงกล่อง และ ไปขายที่พาราไดซ์ชั้น 3 ต่อ หรือ ง่ายๆคือ ขายตั้งแต่ 06.00 – 17.00น. ทั้ง 2 ที่ นั้นละ เพื่อให้เกิดสภาพคล่อง และ รายได้ที่มากขึ้น….เพราะ มีแผนที่จะขึ้นไปซื้อของที่ญี่ปุ่นเอง


ตอนที่เหมาวันพีช ที่ประเทศญี่ปุ่น

11.) หลังจากนั้น 3 เดือน ก็มีโอกาสขึ้นไปซื้อของที่ประเทศญี่ปุ่น โดยช่วงแรกๆ ยอดขายดีมากๆ เอามาเท่าไรก็หมดเร็ว เพราะ เราเลือกของที่ไม่เหมือนใครมา แต่แน่นอน ปัญหา&อุปสรรค มีมาตลอด ในครั้งที่ 2 สินค้าที่ส่งเรือมา เกิดดีเลย์ ล่าช้าไป 3เดือน ทำให้พ่อค้าที่ลงเรือรอบนั้น เจ็บหนักไปตามๆกัน บางคนถึงขั้นเจ๊ง บางคนก็ปางตาย บางคนเป็นหนี้เพิ่มเติม ซึ่งในวงการนี้ เป็นเรื่องปกติ ที่จะมีเรื่องราวแบบนี้ ขึ้นทุกปี


สินค้าที่หิ้วมารอบแรก

แต่…ด้วยความที่โชคดี มีความรู้สึกตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นไปญี่ปุ่น ว่ารอบนี้มีอะไรแปลกๆ เลยตัดสินใจ ไม่นำสินค้าลงเรือ แม้แต่ชิ้นเดียว แต่เอากลับทั้งหมด โดยหิ้วกลับมา และ ส่งปณ.ที่ญี่ปุ่นมาแทน ทำให้รอดวิกฤติ ในครั้งนั้น ซึ่งถือได้ว่า…ถ้าตอนนั้น ตัดสินใจผิดพลาด คงจะแย่แน่นอน….

12.) จากนั้นเริ่มมีการขายหลายวิธี อาทิ ขายส่ง ขายปลีก ขายยกลัง พยายามทำหลายวิธี ให้รายได้ เพิ่มมากที่สุด แต่สุดท้าย…ก็มีลางสังหรณ์ อีกครั้งว่า…สินค้าส่งราคาจะพังแน่นอน จึงมีความคิดที่จะเปิดร้านใหม่อีกครั้ง ในที่ใหม่ นั้นก็คือ ร้านให้ไปเกิด ในปัจจุบัน นั้นเอง….


บรรยากาศ ในวันแรกที่ ” หิ้วสินค้า” จาก ประเทศญี่ปุ่น มาขาย

13.) ซึ่งแน่นอน หลังจากที่เลิกขายส่ง พ่อค้าปลีกก็เริ่มหายหน้า หายตาไป ส่วนนึงเป็นเพราะ ว่า ทางเราไม่ขายส่งแล้ว และ อีกส่วนคือ พ่อค้าปลีก เลิกขาย เพราะ ทำราคาไม่ได้ เนื่องจากขายราคาต่ำจนเคยชิน (ราคาในเพจ) พอราคามันขึ้น สินค้าไม่ได้ราคาเดิม ก็เลยต้องยุติการขายไปนั้นเอง

14.) หลายๆคนสงสัย ทำไมมาเปิดที่นี้ ? ทำไมไม่ไปตลาดนัดรถไฟ หรือ ที่อื่นๆ ต้องบอกก่อนว่า ก่อนหน้านี้ได้ตระเวณลองดูหลายที่ แต่สุดท้าย มีความเชื่อว่า ทำเล ที่ดีนั้น…ไม่ใช่ทำเลที่คนเยอะ หรือ เป็นที่นิยม แต่สำหรับผมทำเลที่ดี คือ
  1.มีพื้นที่กว้าง สามารถขยายได้ในอนาคต
  2.เดินทางได้สะดวก
  3.มีที่จอดรถ
  4.ทำเล อยู่ใกล้แหล่งที่สำคัญ จึงเป็นเหตุผลที่เลือกที่นี้ แม้ว่าครั้งแรกที่มา….จะไม่มีร้านค้าใดๆอยู่ในพื้นที่ นี้เลย!!


ZoneA “ในครั้งแรก” ก่อนทำการตกแต่ง


เริ่มสั่งตู้มาลง!!!


วันแรกที่เปิดร้าน “ให้ไปเกิด”


“วินาทีแรก” ที่เปิดตู้ให้เลือกซื้อ

15.) หลังจากเปิดที่นี้ได้ 1 เดือน พบว่า ยอดขายดีมาก ลูกค้ามากันเยอะมาก น่าจะเพราะ จากการโปรโมททางเพจ ซึ่งทางผมใช้เงินจำนวนมาก เพื่อเร่งสร้างแบรนด์ร้าน ให้เป็นที่รู้จัก โดยไม่สนว่า ต้องใช้มากแค่ไหน เพราะ มีความมั่นใจว่า “ร้านจะเกิดได้ ต้องมีคนรู้จักก่อน..


บรรยากาศ ณ ตอนที่ผู้เช่าตู้ มาจัดของใส่ตู้ โดยเป็นครั้งแรก ที่เรียกว่า ZoneA ในรูปแบบห้อง Showcase

16.) พอขายไปซักพัก ทำให้มีสินค้าไม่เพียงพอ แก่ ลูกค้า เพราะ มีลูกค้ามาหลากหลายกลุ่ม ทั้ง วันพีช ดราก้อนบอล กันดั้ม ไรเดอร์ มาริโอ รีเม้นท์ อื่นๆ ซึ่งทำให้คิดว่า งั้นเราควรที่จะเปิดให้เช่าตู้ Showcase แบบเต็มรูปแบบ เพื่อให้นักสะสม มาปล่อยสินค้ากัน จะได้มีสินค้าเยอะๆ และ หลากหลาย ยิ่งกว่าเดิม หลังจากวันนั้น จึงเริ่มโปรโมทการเช่าตู้Showcase และ เร่งระบายขายสินค้าในร้านทั้งหมดไป เพื่อนำเงินมาซื้อตู้Showcase และ เก็บเงินไว้เพื่อขยายห้องต่อไปในอนาคต….

และ อีกมากมาย…หลายอย่างที่ยังไม่ได้เล่า รวมถึง ปัญหาและอุปสรรค ที่มีมาให้แก้ไขตลอดเวลา…หลังจากนี้ ?


บรรยากาศ วันแรกที่จัดตู้Showcase ในZoneA

การเช่าตู้Showcase คือ อะไร ?

    – การที่ทางร้านมีตู้โชว์โมเดลว่างให้เช่า โดยที่ผู้เช่านำสินค้าของตัวเอง มาใส่ไว้ในตู้ โดยจัดการวางให้สวยงาม ตามความต้องการได้เอง
    ทางร้านมีหน้าที่ขายทางหน้าร้าน และ ออนไลน์ให้ รวมถึง มีช่องทางต่างๆในการช่วยเหลือ เช่น กลุ่มประมูล , กลุ่มลูกค้าVip , ห้องรับรางวัล อื่นๆ

บทสรุปของ ZoneC

   600,000 บาท เป็นจำนวนที่ต้องรีบหา ซึ่งไม่ง่ายเลย ในเวลาอันสั้นเพียง 1-2 เดือน แต่ด้วยความเชื่อว่า เราต้องทำได้ รวมถึง ความฝัน..ที่อยากให้เป็นดินแดนของนักสะสมแห่งใหม่ ที่ได้เคยสัญญากับเพื่อนๆทุกคนไว้ จึงพร้อมจะเสี่ยงอีกครั้งนึง เพราะ หากเรามีความฝัน ก็ต้องทำตามฝันต่อไป…แม้โอกาสจะน้อยมากก็ตาม


ลงตรวจสอบเองทุกขั้นตอน….

เส้นชัยของZoneC

   ณ วันนี้ ( 24 มี.ค 60 ) เป็นวันที่ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย การก่อสร้างเสร็จสิ้น..เหลือเพียงภายในเท่านั้น คือ ติดแอร์ , ติดตั้งตู้Showcase , ติดตัวล็อคกุญแจตู้ , ตกแต่งภายในเพิ่มความสวยงาม


ด้านซ้าย ZoneC ที่พร้อมเปิด 8 เมษายน 60
ด้านขวา ZoneB ที่เปิดอยู่ในปัจจุบัน

    ถามว่าง่ายไหม บอกได้เลยว่า “เกินคำว่ายาก” เพราะ สิ่งที่ทำอยู่นั้น นอกเหนือสิ่งที่คิดไปไกลมากๆ เนื่องจากครั้งแรก ที่อยากเปิดร้าน ก็เพียงต้องการมีของเยอะๆให้ลูกค้าเลือกซื้อเท่านั้น ซึ่งการเปิดร้าน Showcase เป็นจุดเปลี่ยนของธุรกิจที่…
    …มาเจอ ตอนที่พบปัญหา เจอวิกฤติ และ อุปสรรค นั้นเอง เช่น ของไม่เพียงพอ , ไม่หลากหลาย , ห้องขนาดเล็ก , ราคาไม่สม่ำเสมอ

ซึ่งทำให้เราต้องแก้ปัญหาโดยการ

เปลี่ยนเป็น “ร้านShowcase” นั้นเอง….





Advertisements

    เป็นไงบ้างครับ… “ทำธุรกิจทุกอย่างไม่ง่าย”  ทุกธุรกิจมักมีทางเดินเฉพาะตัวเป็นของตนเอง  หากคิดจะทำแล้วต้องทำให้สุดๆ  เรียนรู้ ฝึกตนเอง-เพื่อรับแรงกดดันต่างๆ ที่จะถาโถม กระหน่ำเราตลอดเวลา…

   แต่…อย่างที่เขาว่า  “นักรบที่เก่งที่สุด คือ นักรบที่เจนสนามรบมากที่สุด”  หากไม่เคยผ่านสนามรบ จะเรียกว่า “สุดยอดนักรบได้อย่างไร” 

   เพื่อนๆคนไหน…ที่กำลังต่อสู้อยู่  ก็จงอย่ายอม-อย่าท้อถอย  จงกำหัวใจตัวเอง…แล้วก้าวต่อไปข้างหน้า  ทำทุกทางให้ถึงที่สุด…แล้วรางวัลแห่งความสำเร็จ ก็จะเป็นของคุณบ้าง ดังเช่น คุณเศรษฐกร เกษสม “ผู้ชายของของเล่น” จากแบรนด์   “ให้ไปเกิด”

……………………………..

เรื่องโดย : เศรษฐกร เกษสม
เรียบเรื่อง : ทำเลขายของ.com
คำนำ , บทสรุป , ประวัติ โดย : zen ผู้เหลือรอดคนสุดท้าย
ลิขสิทธิ์โดย ทำเลขายของ.com
(ข้อมูลลิขสิทธ์จากการอนุญาต คุณเศรษฐกร เกษสม
เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2560
โดยทีมงาน www.ทำเลขายของ.com )
ไม่อนุญาต “คัดลอก” รวมถึงในกรณี ที่จะใส่ลิ้งค์กลับ ก็ไม่อนุญาต เช่นกันนะครับ
อนุญาตให้ “แชร์” ได้ครับ
ขอบคุณครับ

สามารถติดตาม “ร้านให้ไปเกิด ” ได้ที่
ข้อมูลธุริจ  

ชื่อธุรกิจ :
ร้านให้ไปเกิด
ชื่อเจ้าของธุรกิจ :
เศรษฐกร เกษสม
ที่อยู่ : ร้านให้ไปเกิด 3/1 โครงการU-sa-ard Market ซ.53 ถ.ศรีนครินทร์
tel :  093-290-5515
FB: ให้ไปเกิด
(https://www.facebook.com/ให้ไปเกิด-864666943640512/)

Leave a comment

E-mail ของคุณจะไม่แสดงขึ้นมาก.


*

กรอกเป็นตัวเลข * Time limit is exhausted. Please reload the CAPTCHA.